" ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร "
บทสวดแรกที่พระพุทธเจ้าเทศนา
อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิตฺวา ตะถาคะโต
ปะฐะมัง ยัง เอเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง
สัมมะเทวะปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
ยักถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปัตติ จะ มัชฌิมา
จะตูสฺวาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง
นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง
เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เสฯ
************
ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง
เอวัมเม สุตัง, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย, ตัตระ
โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ,
ทะเวเม ภิกขะเว อันตา, ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา, โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค,
หีโน, คัมโม, โปถุชชะนิโก, อะนะริโย, อะนัตถะสัญหิโต, โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค, ทุกโข,
อะนะริโย, อะนัตถะสัญหิโต,
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา, ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา,จักขุกะระณี, ญาณะกะระณี, อุปะสะมายะ, อะภิญญายะ, สัมโพธายะ, นิพพานายะ สังวัตตะติ,
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา, อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค, เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันโต, สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม, สัมมาสะติ,
สัมมาสะมาธิ,
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา, ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี,
ญาณะกะระณี, อุปะสะมายะ, อะภิญญายะ, สัมโพธายะ, นิพพานายะ สังวัตตะติ,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง, ชาติปิ ทุกขา, ชะราปิ ทุกขา, มะระณัมปิ ทุกขัง,
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ปิเยหิ วิปปะโยโค
ทุกโข, ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง, สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง, ยายัง ตัณหา; โปโนพภะวิกา, นันทิราคะสะหะคะตา, ตัตระ ตัตฺราภินันทินี, เสยยะถีทัง, กามะตัณหา, ภะวะตัณหา, วิภะวะตัณหา,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง, โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะ
นิโรโธ, จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย,
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง, อะยะเมวะ อะริโย
อัฏฐังคิโก มัคโค, เสยยะถีทัง, สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันโต,
สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม, สัมมาสะติ, สัมมาสะมาธิ,
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,
ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง
อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,
ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง
อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,
ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ,
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง
อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย
อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ,
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,
ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ
อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา
อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ,
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง
ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง
อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ,
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ, เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก, โลเก สะมาระเก
สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง,
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง
ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ, อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง,
ญานัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ, อะกุปปา เม วิมุตติ, อะยะมันติมา ชาติ, นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ, อิทะมะโว จะ ภะคะวา, อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง,
อิมัสฺมิญจะ ปะนะเวยยากะระณัสฺมิง ภัญญะมาเนฯ อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติฯ
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะ ตะเน มิคะทาเย, อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิวา โลกัสฺมินติฯ
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง
สัททัง สุตฺวา,
พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, พรัหมะกายิกานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
พรัหมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, พรัหมะปา-ริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
พรัหมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, พรัหมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
มะหาพรัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, มะหาพรัหมานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
สุภะกิณฺหะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง สุภะกิณหะกาณัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
(อะสัญญิสัตตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อะสัญญีสัตตานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,)
เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา,
อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติยัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา
โลกัสฺมินติ,
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวังฯ
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ, อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ
โกฑัญโญติ อิติหิทัง อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญเตววะ นามัง อะโหสิติ.
************
ธรรมชาติชนดีอันมีศักดิ์ ย่อมต้องรักธานินถิ่นสถาน รักบิดรมารดาครูอาจารย์ รักภูบาลร่มเกล้าทุกเช้าเย็น
รักชาติวงศ์พงศ์เผ่าเหล่าภาษา รักศาสนาสอนแสดงแจ้งให้เห็น กตัญญูรู้ระลึกนึกเช้าเย็น สิ่งจำเป็นรักไว้ให้มั่นเอย
*********************************************************
คำแปลธัมมจักกัปปวัตนสุตตัง
ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระเจ้า), ได้สดับมาแล้วอย่างนี้, สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี, ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ที่สุดแห่งการกระทำสองอย่างเหล่านี้ มีอยู่, เป็นสิ่งที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะเลย, นี้คือการประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย, เป็นของต่ำทราม, เป็นของชาวบ้าน, เป็นของคนชั้นปุถุชน, ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า, ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย, นี้อย่างหนึ่ง, อีกอย่างหนึ่ง, คือการประกอบการทรมานตนให้ลำบาก, เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งทุกข์. ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า, ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ข้อปฏิบัติทางสายกลาง ไม่เข้าไปหาที่สุดแห่งการกระทำสองอย่างนั้น, มีอยู่, เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ, เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ, เพื่อความสงบ,
เพื่อความรู้ยิ่ง, เพื่อความรู้พร้อม, เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น เป็นอย่างไรเล่า, ข้อปฏิบัติทางสายกลางนั้น คือ ข้อปฏิบัติ
เป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการนี้เอง, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบ, ความดำริชอบ,
การพูดจาชอบ, การทำการงานชอบ, การเลี้ยงชีวิตชอบ, ความพากเพียรชอบ, ความระลึกชอบ, ความตั้งใจมั่นชอบ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง, เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมแล้ว, เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ, เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ, เพื่อความสงบ, เพื่อความรู้ยิ่ง, เพื่อความรู้พร้อม, เป็นไปพร้อม
เพื่อนิพพาน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็อริยสัจจ์ คือทุกข์นี้, มีอยู่, คือความเกิดก็เป็นทุกข์, ความแก่ก็เป็นทุกข์, ความตายก็เป็นทุกข์, ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์, ความประสบกับสิ่งที่
ไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์, มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์, ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็อริยสัจจ์คือเหตุให้เกิดทุกข์นี้, มีอยู่, นี้คือ ตัณหา, อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก,
อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน, เป็นเครื่องให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ, ได้แก่
ตัณหาเหล่านี้ คือ, ตัณหาในกาม, ตัณหาในความมีความเป็น, ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็อริยสัจจ์ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้, มีอยู่, นี้คือความดับสนิทเพราะจางไป โดยไม่เหลือ
ของตัณหานั้นนั่นเอง, เป็นความสละทิ้ง, เป็นความสลัดคืน, เป็นความปล่อย, เป็นความทำให้ไม่มีที่อาศัยซึ่ง
ตัณหานั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็อริยสัจจ์คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์นี้, มีอยู่, นี้คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ, ความเห็นชอบ, ความดำริชอบ,
การพูดจาชอบ, การทำการงานชอบ, การเลี้ยงชีวิตชอบ, ความพากเพียรชอบ, ความระลึกชอบ, ความตั้งใจมั่นชอบ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน, ว่าอริยสัจจฺคือทุกข์ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ดังนี้, ว่า
ก็อริยสัจจ์คือทุกข์นั้นแล, เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ดังนี้, ว่า ก็อริยสัจจ์คือทุกข์นั้นแล, เรากำหนดรู้ได้แล้ว ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาก่อน, ว่าอริยสัจจ์ คือเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นอย่างนี้ อย่างนี้
ดังนี้, ว่าอริยสัจจ์คือเหตุให้เกิดทุกข์นินแล, เราได้ละแล้ว ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน, ว่าอริยสัจจ์คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นั้นแล
เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ดังนี้, ว่า ก็อริยสัจจ์ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล, เราทำให้แจ้งได้แล้ว ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา, ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน, ว่าอริยสัจจ์ คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ดังนี้, ว่า ก็อริยสัจจ์คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกระทำให้เกิดมี ดังนี้, ว่า ก็อริยสัจจ์ คือข้อปฏิบัติที่ทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล, เราทำให้เกิดมีได้แล้ว ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง, มีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้, ในอริยสัจจ์ทั้งสี่เหล่านี้, ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา อยู่เพียงใด, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ตลอดการเพียงนั้น, เรายังไม่
ปฏิญญาว่าตรสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เมื่อใด, ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง, มีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจจ์
ทั้งสี่เหล่านี้, เป็นของบริสุทธิ์ หมดจดด้วยดีแก่เรา, เมื่อนั้น, เราปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อม เฉพาะแล้ว, ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ, ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก, ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้ง
เทวดาและมนุษย์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ญาณและทัสสนะได้เกิดแล้วแก่เรา, ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบ, ความเกิดนี้ เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย, บัดนี้ ความเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้.
************
ที่อัญเชิญมา ถึงท่อนที่ว่า อะยะมันติมา ชาติ, นัตถิทานิ ปุนัพพพโว ติ เท่านั้น
สำหรับท่อนต่อจากนั้น เป็นการกล่าวสรรเสริญพระบารมีของพระประทีปแก้ว
ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วนั้น เป็นที่สรรเสริญของเทวดา ตลอดจนพรหมทุกชั้น
ที่ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญในประปัญญา บารมี น้ำพระทัยที่พระองค์ทรงเผยแผ่พระธัมมจัก
ซึ่งเป็นสุภาสิตวาจาที่ทำให้พระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ในทันที
หากว่าสามารถหาได้ จะนำมาเพิ่มเติมให้ครับ
อนุโมทนาบุญให้เจ้ากรรมนายเวร คุณครูอาจารย์ มารดรบิดา และทุกท่านที่พบพระธัมมจัก
จงมีความสวัสดีในที่ทุกสถานทุกกาลทุกเมื่อ มีพระธัมมจักคุ้มครองป้องกันใจให้พ้นจากอกุศลกรรม และอบายภูมิ ให้ทุกท่านทุกคนจงมีอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มีพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระบรมครู พระผู้มีพระภาคเจ้าสถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณ พ้นจากทุกข์ มีความสุข อายุยืนยาวเพื่อประกอบกุศลกรรมอันดีร่วมกันตราบเท่าอายุของมนุษย์ในพระพุทธศาสนา
|